tag:blogger.com,1999:blog-25533678104276778752024-03-14T09:18:18.961-07:00tteerapanTEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.comBlogger17125tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-55387163418643255562010-03-05T04:35:00.001-08:002010-03-05T04:35:56.047-08:00ใบงานที่ 3การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา<br />
การพัฒนาหลักสูตร<br />
ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร<br />
มีนักการศึกษาให้ความหมายของคำว่า “ การพัฒนาหลักสูตร ” ไว้ดังนี้ <br />
สงัด อุทรานันท์ ได้กล่าวถึงความหมายของการพัฒนหลักสูตรว่า “ การพัฒนา ” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า “Development” มีความหมายอยู่ ๒ ลักษณะ คือ <br />
• การทำให้ดีขึ้นหรือทำให้สมบูรณ์ขึ้น <br />
• การทำให้เกิดขึ้น <br />
ด้วยเหตุนี้การพัฒนาหลักสูตรจึงมีความหมายใน ๒ ลักษณะ คือ การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือสมบูรณ์ขึ้น กับการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีหลักสูตรเดิมเป็นพื้นฐานเลย <br />
ทาบา (Taba) ได้กล่าวไว้ว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการวางจุดมุ่งหมาย การจัดเนื้อหาวิชา การเรียนการสอน การวัดผลประเมินผล และอื่นๆ เพื่อให้บรรลุถึงจุดมุ่งหมายอันใหม่ที่วางไว้ การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบหรือเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ตั้งแต่จุดมุ่งหมายและวิธีการ และการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรนี้จะมีผลกระทบกระเทือนทางด้านความคิดและความรู้สึกนึกคิดของผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ส่วนการปรับปรุงหลักสูตร หมายถึง การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรเพียงบางส่วนโดยไม่เปลี่ยนแปลงแนวคิดพื้นฐาน หรือรูปแบบของหลักสูตร ” <br />
กู๊ด (Good) ได้ให้ความเห็นว่า “ การพัฒนาหลักสูตรเกิดได้ ๒ ลักษณะ คือ การปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงหลักสูตร การปรับปรุงหลักสูตรเป็นวิธีการพัฒนาหลักสูตรอย่างหนึ่งเพื่อให้เหมาะสมกับโรงเรียนหรือระบบโรงเรียน จุดมุ่งหมายของการสอน วัสดุอุปกรณ์ วิธีสอน รวมทั้งการประเมินผล ส่วนคำว่าเปลี่ยนแปลงหลักสูตร หมายถึงการแก้ไขหลักสูตรให้แตกต่างไปจากเดิม เป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนขึ้นใหม่ ” <br />
เซเลอร์ และอเล็กซานเดอร์ (Saylor and Alexander) ให้ความหมายว่า “ การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การจัดทำหลักสูตรเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น หรือเป็นการจัดทำหลักสูตรใหม่โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน การพัฒนาหลักสูตร อาจหมายรวมถึงการสร้างเอกสารอื่นๆ สำหรับนักเรียนด้วยTEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-56236382184007764532010-03-05T04:29:00.001-08:002010-03-05T04:29:34.478-08:00ใบงานที่ 1อธิบายความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและสารสนเทศ<br />
<br />
1. การจัดการ หมายถึง ชุดของหน้าที่ต่าง ๆ ที่กำหนดทิศทางในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งหลายอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficient) หมายถึง การใช้ทรัพยากรอย่างเฉลียวฉลาด และคุ้มค่า ส่วนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผล (Effective) หมายถึงการตัดสินใจอย่างถูกต้อง และมีการปฏิบัติการได้สำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ ดังนั้น ผลสำเร็จของการจัดการต้องมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลควบคู่กันไป<br />
การบ ริหาร หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมมือกันดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายๆอย่างที่บุคคลร่วมกัน กำหนดโดยใช้กระบวนอย่างมีระบบและให้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม (สมศักดิ์ คงเที่ยง , 2542 : 1)TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-25461151493751598422010-02-26T20:17:00.001-08:002010-02-26T20:17:14.997-08:00ใบงานที่ 14 ความเห็นเกี่ยวกับการใช้ bloggerความเห็นเกี่ยวกับการใช้ blogger<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
เป็นความรู้ใหม่ที่ได้รับจากการเรียน สามารถนำไปพัฒนางานในหน้าที่การเรียนการสอน โดยเฉพาะการบริหารงานโรงเรียน เพื่อเป็นแหล่งการเรียนรู้ของบุคลากรในโรงเรียน และยังสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนได้เรียนรู้ และฝึกทักษะในการใช้และเรียนรู้คอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย เมื่อประเมินแล้วพบว่าการสร้างบล็อคมีส่วนดีดีทั้งสองบล็อกแต่รูปแบบการใช้ และกลุ่มผู้ใช้แตกต่างกันบ้าง<br />
<br />
<br />
<br />
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของ blogspot กับ gotoknow<br />
<br />
<br />
<br />
1. กลุ่มผู้ใช้บล็อก gotoknow มากกว่า blogspot<br />
<br />
<br />
<br />
2. รูปแบบบล็อก blogspot สวยกว่า gotoknow<br />
<br />
<br />
<br />
3. blogspot เหมาะกับการจัดการกลุ่ม มากกว่า gotoknow<br />
<br />
<br />
<br />
4. gotoknow เมาะกับการเผยแพร่ข้อมูลสู่สาธารณชนมากกว่า blogspotTEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-44456898009746420932010-02-26T20:16:00.001-08:002010-02-26T20:16:32.311-08:00ใบงานที่ 12 การใช้งานโปรแกรม SPSS for Windowส่วนประกอบหลักของ SPSS FOR WINDOWS<br />
<br />
Ø Title Bar บอกชื่อไฟล์<br />
<br />
<br />
<br />
Ø Menu Bar คำสั่งการทำงาน<br />
<br />
<br />
<br />
Ø Cell Editor กำหนดค่าตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
Ø Cases ชุดของตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
Ø Variable กำหนดชื่อตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
Ø View Bar มีสองส่วน<br />
<br />
<br />
<br />
1. Variable View สร้างและแก้ไขโครงสร้างตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
2. Data View เพิ่มและแก้ไขตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
Ø Status Bar แสดงสถานการณ์ทำงาน<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
การเปิด SPSS Data Editor<br />
<br />
<br />
<br />
ไปที่ File -> New -> Data แล้วกำหนดชื่อและรายละเอียดจากหน้าจอ Variable Viewป้อนข้อมูล Data View บันทึกข้อมูล File -> Save<br />
<br />
การกำหนดชื่อและรายละเอียดตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
ที่หน้าจอ SPSS Data Editor เรียกหน้าจอ Variable View ทำได้ 2 วิธี คือ<br />
<br />
<br />
<br />
1. ดับเบิลคลิกตรงคอลัมน์ของบรรทัดแรก<br />
<br />
<br />
<br />
2. คลิกแถบ Variable View ที่อยู่ด้านล่างเมื่อได้หน้าต่างของ Variable View<br />
<br />
<br />
<br />
1. Name ชื่อตัวแปร ให้พิมพ์ตรงคอลัมน์ Name เช่น Sex<br />
<br />
<br />
<br />
2. Type ประเภทของตัวแปร เลือก Numeric Width=1 Decimal Places=0 คลิกปุ่ม OK<br />
<br />
<br />
<br />
3. Label กำหนดข้อความขยายชื่อตัวแปร เพื่ออธิบายชื่อตัวแปรและแสดงออกทางผลลัพธ์ ให้พิมพ์ตรงคอลัมน์ Label เช่น เพศ<br />
<br />
<br />
<br />
4. Values กำหนดคำอธิบายให้กับค่าตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
5. Missing กำหนดค่าที่ไม่นำไปวิเคราะห์ มี 2 แบบ<br />
<br />
<br />
<br />
5.1 User Missing ผู้วิจัยเป็นผู้กำหนด เช่น 9, 99, 999, …<br />
<br />
<br />
<br />
5.2 System Missing โปรแกรมจะกำหนดให้เอง<br />
<br />
<br />
<br />
6. Column จำนวนความกว้างของคอลัมน์ คือจำนวนความกว้างมากสุดของ ค่าตัวแปร หรือ ชื่อตัวแปร หรือ label ตัวแปร .จากตัวอย่าง ชื่อตัวแปร และ label ตัวแปร มีความกว้างมากสุดเท่ากับ 3 ให้พิมพ์ 4 (ความกว้างมากสุดเท่ากับ 3 บวกเผื่อไว้ 1)<br />
<br />
<br />
<br />
7. Align ให้แสดงค่าตัวแปร ชิดซ้าย กึ่งกลาง ชิดขวา <br />
<br />
<br />
<br />
8. Measure ระดับการวัดของข้อมูล<br />
<br />
<br />
<br />
8.1 Scale (Interval, Ratio)<br />
<br />
<br />
<br />
8.2 Ordinal<br />
<br />
<br />
<br />
8.3 Nominal<br />
<br />
<br />
<br />
ให้กำหนดชื่อและรายละเอียดของตัวแปรให้ครบทุกตัว<br />
<br />
<br />
<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
<br />
1. คลิกที่เมนู Analyze เลือก Descriptive Statistic และเลือก Frequencies<br />
<br />
<br />
<br />
2. จากนั้นเราจะได้กรอบ Frequencies กรอบ Frequencies ทางช่องซ้ายมือเป็นตัวแปรต่างๆ ที่ได้จากแบบสอบถาม ทางช่องขวามือจะเป็นส่วนเลือกตัวแปรเพื่อวิเคราะห์ข้อมูล<br />
<br />
<br />
<br />
3. เราจะเลือกตัวแปรโดยการคลิกที่ตัวแปรที่ต้องการวิเคราะห์ทางซ้ายมือ จากนั้นคลิกปุ่มเลือก(สามเหลี่ยมสีดำ)ตัวแปรที่ต้องการวิเคราะห์ก็จะตกไปอยู่ทางช่องขวามือ ในที่นี้ให้เลือกทั้งหมดทุกตัวแปร<br />
<br />
<br />
<br />
4. คลิกปุ่ม Statistics แล้วจะได้กรอบ Frequencies Statistics<br />
<br />
<br />
<br />
5. เลือกประเภทการวิเคราะห์ข้อมูล ในที่นี้เราจะวิเคราะห์ Central Tendency และ Dispersion โดยส่วน Central Tendency เลือก Mean, Median, Mode, Sum และส่วน Dispersion เลือก Std. deviation, Minimum, Maximum เลือกเสร็จเรียบร้อยแล้วให้คลิกปุ่ม Continue เมื่อคลิกปุ่ม Continue จะกลับมาที่กรอบ Frequencies Statistics<br />
<br />
<br />
<br />
6. ต่อไปให้คลิกปุ่ม Charts จะได้กรอบ Frequencies Charts ในส่วน Frequencies Charts นี้ท่านสามารถเลือก Chart Type ว่าต้องการเป็น Charts ชนิดใด ในที่นี้ให้เลือก Bar charts แล้วคลิก Continue<br />
<br />
<br />
<br />
7. เมื่อคลิกปุ่ม Continue จะกลับมาที่กรอบ Frequencies Statistics ดังภาพ จากนั้นคลิกปุ่ม OK ก็เป็นอันเสร็จสิ้นขั้นตอนการวิเคราะห์ข้อมูลTEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-4823688511005474052010-02-26T20:15:00.000-08:002010-02-26T20:15:04.808-08:00ใบงานที่ 9 ลักษณะของผู้บริหารมืออาชีพให้นักเรียนสรุปคุณลักษณะของผู้บริหารแบบมืออาชีพในยุคปัจจุบันนักศึกษาคิดว่าน่าจะไปอย่างไร ขอให้เขียนตอบลงใน Webboard แต่ละคน <br />
<br />
นักบริหารมืออาชีพต้องมีคุณลักษณะภายในตนที่สามารถปลูกฝังและฝึก <br />
<br />
<br />
<br />
1) มีวิสัยทัศน์ มีสายตาที่ยาวไกล ก้าวไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา<br />
<br />
2) ตรงไปตรงมา มีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างสูงสุด<br />
<br />
3) ทำงานโดยมุ่งผลสำเร็จมากกว่ามุ่งกระบวนการ<br />
<br />
4) มองปัญหาชัดใช้ปัญญาในการการแก้ปัญหาและกล้าตัดสินใจ<br />
<br />
5) เป็นผู้มีศิลปในการประนีประนอม <br />
<br />
6) การทำงานเป็นทีม<br />
<br />
7) ซื่อสัตย์ สุจริต มีคุณธรรม จริยธรรมTEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-81486247103374437082010-02-26T20:13:00.001-08:002010-02-26T20:13:53.525-08:00ใบงานที่ 8<span style="color: black;"></span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ตามที่อาจารย์ให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับการใช้การใช้โปรแกรม SPSS OF WINDOWS ทบทวนพื้นฐานโดยให้นักศึกษาสรุปหัวข้อประเด็นดังนี้ </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">1.ความหมายคำว่าสถิติ อ่านความหมายจากนักวิชาการหลาย ๆท่านแล้วสรุปเป็นความคิดของนักศึกษา</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">สถิติ หมายถึง หลักฐานที่รวบรวมเอาไว้เป็นตัวเลขสำหรับเปรียบเทียบ</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">2.ค่าเฉลี่ย ค่ามัธยฐาน ค่าฐานนิยม ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน มีความหมายว่าอย่างไร และแต่ละค่าเป็นสถิติประเภทใด</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ค่าเฉลี่ย คือ ผลรวมของค่าสังเกตหรือค่าของตัวอย่างที่ได้จากการสำรวจทุกค่าของข้อมูล แล้วหารด้วยจำนวนตัวอย่างของข้อมูล</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ค่ามัธยฐาน เป็นค่ากลางของข้อมูลที่ได้จากการพิจารณาตำแหน่งของข้อมูลที่อยู่ตรงกลางโดยที่ข้อมูลต้องทำการเรียงลำดับตามปริมาณจากมากไปน้อย หรือจากน้อยไปมากก็ได้</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ค่าฐานนิยม (Mode )ค่าฐานนิยมเป็นค่ากลางซึ่งจะนำมาใช้ในกรณีที่ข้อมูลมีการซ้ำกันมากๆจนผิดปกติ ซึ่งค่าฐานนิยมจะเป็นค่ากลางหรือตัวแทนของข้อมูลที่สามารถอธิบายลักษณะที่เกิดขึ้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยเลขคณิตและค่ามัธยฐาน</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation: s.d.) เป็นการวัดการกระจายแบบหนึ่งของกลุ่มข้อมูล สามารถนำไปใช้กับการแจกแจงความน่าจะเป็น ตัวแปรสุ่ม ประชากร หรือมัลติเซต ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานมักเขียนแทนด้วยอักษรกรีกซิกมาตัวเล็ก (σ)</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ทั้งหมดเป็นสถิติ สถิติพรรณา</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">3.คำว่าประชากร และกลุ่มตัวอย่างเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ให้อธิบายยกตัวอย่างประกอบ</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ประชากร(Population) หมายถึง กลุ่มของสิ่งต่างๆทั้งหมดที่ผู้วิจัยสนใจ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มของสิ่งของ คน หรือเหตุการณ์ต่างๆ</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">กลุ่มตัวอย่างกลุ่ม(Sample)หมายถึง เป็นส่วนหนึ่งของประชากรที่ผู้วิจัยสนใจ กลุ่มตัวอย่างที่ดีหมายถึงกลุ่มตัวอย่างที่มีลักษณะต่างๆที่สำคัญครบถ้วนเหมือนกับกลุ่มประชากร เป็นตัวแทนที่ดีของกลุ่มประชากรได้</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ประชากร คือ จำนวนทั้งหมด กลุ่มตัวอย่างเป็นส่วนหนึ่งของประชากร เช่น </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ประชากร จำนวนครูในโรงเรียนทั้งหมด 10 คน </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">กลุ่มตัวอย่าง จำนวนครูในโรงเรียนทีเลือกมาบางส่วนจาก 10 คน</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">4.นามบัญญัติ ระดับอันดับที่ ระดับช่วง ระดับอัตราส่วน ท่านเข้าใจอย่างไร อธิบายสั้น ๆ</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">มาตรานามบัญญัติ (Nominal Scale) ลักษณะเด่นของมาตรานี้คือ เป็นตัวแปรที่ถูกจัดเป็นกลุ่มๆ โดยที่ตัวแปรนี้ไม่สามารถจัดลำดับก่อนหลัง หรือบอกระยะห่างได้ เช่น เพศ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือเพศชาย และเพศหญิง </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">5.ตัวแปรคืออะไร ตัวแปรต้นคืออะไร ตัวแปรตามคืออะไร</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ตัวแปร (Variable) หมายถึง คุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งต่าง ๆ ที่สามารถแปรค่าได้ เช่น น้ำหนัก ส่วนสูง อายุ เพศ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ระดับสติปัญญา เชื้อชาติ เป็นต้น6.สมมติฐาน คืออะไร สมมติฐานการวิจัยมีกี่ประเภทอะไรบ้าง </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ตัวแปรต้น หรือตัวแปรอิสระ (Independent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดผล หรือก่อให้เกิดการแปรผันของปรากฏการณ์ เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยกำหนดหรือจัดกระทำได้ เพื่อศึกษาผลที่เกิดขึ้นจากตัวแปรนี้</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ตัวแปรตาม (Dependent Variable) เป็นตัวแปรที่เป็นผลมากจากการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ เป็นตัวแปรที่ผู้วิจัยมุ่งวัดเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับนำมาวิเคราะห ์เพื่อตอบคำถามของการวิจัยว่าเป็นผลมากจากสิ่งใด</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">สมมุติฐาน คือ จุดเริ่มต้นของการศึกษาค้นคว้า และเป็นข้อความที่เสนอคำตอบที่คาดคิดว่าน่าจะเป็นสำหรับปัญหาการวิจัยที่กำหนดศึกษา </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ประเภทของสมมุติฐานการวิจัย </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">1.สมมุติฐานที่เน้นการตอบปัญหาโดยไม่คำนึงมีการทดสอบทางสถิติ</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">2.สมมุติฐานที่เน้นการตอบปัญหาโดยการทดสอบทางสถิติ</span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">7. T-test, F-test เหมือนหรือต่างอย่างไร </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">โดยทฤษฏี t- test ใช้เมื่อกลุ่มตัวอย่างมีขนาดเล็ก ( n < 30 )แต่ในทางปฏิบัติ t- test ใช้กับกลุ่มตัวอย่างขนาดใดก็ได้ ขอเพียงแต่ให้ประชากรของกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มมามีการแจกแจงปกติ หรือเข้าใกล้การแจกแจงปกติ ( Weiss. 1995 :537 ) </span><br />
<span style="color: black;"><br />
</span><br />
<span style="color: black;">ถ้า ให้ทดสอบด้วย F - test ถ้าค่า F - test ไม่มีนัยสำคัญ ทางสถิติ ให้ใช้ poolet t –test แต่ถ้ามีนัยสำคัญทางสถิติตามระดับที่ตั้งไว้ ให้ใช้ Nonpooled t – test </span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-59037437429714604992010-02-26T20:10:00.000-08:002010-02-26T20:10:05.066-08:00ใบงานที่ 6 ประโยชน์ของ google1. การใช้คุณประโยชน์ของ Google Search Bar อย่างมีประสิทธิภาพอย่างผู้เชี่ยวชาญ<br />
<br />
การค้นหาสิ่งมากมายบน Google ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำด้วยเคล็ดลับพิเศษแบบฉบับผู้เชี่ยวชาญในชีวิต LifeStream ของเหล่านักพัฒนาและผู้เสพสื่อแบบเรา ๆ ชาว IT ก็คงจะผ่านตา Google ที่เรารู้จักในนามตัวแทนแห่งเครื่องมือการค้นหาที่มีประสิทธิภาพที่สุด เราสามารถแสดงวิธีค้นหาข้อมูล<br />
<br />
ที่ต้องการแบบทันทีทันใดผ่านเครื่องมือค้นหาตัวนี้ ตั้งแต่ ข้อมูลภาพยนตร์ เพลงหรือ ศิลปินที่เรา อยากจะค้นหา และยังมีเรื่องง่าย ๆ กับข้อมูลที่เก่าเก็บด้วยการกดดู Cache ของ Google เพื่อดูเนื้อหาที่ผ่านมาแล้วหลายปี<br />
<br />
Google คือ ผู้ให้บริการ Search Engine ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีผู้นิยมใช้งานมากกว่า 80% จากผู้เล่นอินเตอร์เน็ตทั้งหมด Google นอกจากจะให้บริการ Search Engine แล้ว ยังมีบริการอื่นๆที่มีประโยชน์อีกมากมาย<br />
<br />
ประโยชน์ของ Google ในการบริการ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มได้ 3 กลุ่ม โดยแบ่งออกตามความสามารถในการทำงานในด้านต่าง ๆ ดังนี้<br />
<br />
1. บริการในกลุ่มดัชนีค้นหา (Search Engines) Google Web Search Features ประกอบด้วย<br />
<br />
บริการค้นหาต่อไปนี้<br />
<br />
· Book Search : บริการค้นหาหนังสือแบบออนไลน์ ซึ่งเป็นบริการใหม่ของ Google ที่เพิ่งเปิดให้บริการกับแฟนหนังสือโดยเฉพาะ<br />
<br />
· Cached Links :บริการช่วยจับประเด็นหรือหัวเรื่องสำคัญของเว็บไซต์ที่ต้องการจะ<br />
<br />
ค้นหา<br />
<br />
· Calculator : เครื่องคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่สามารถตั้งตัวเลข โดยคีย์ลงในช่องค้นหาของ Google แล้วคลิ้กหาคำตอบที่ต้องการได้<br />
<br />
· Currency Conversion : บริการแปลงหน่วยมาตราเงินสำหรับระบบแลกเปลี่ยนเงินตรา<br />
<br />
· Definitions : หมวดคำศัพท์ที่สามารถค้นหาความหมายของคำศัพท์ที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย<br />
<br />
· File Types : ดัชนีค้นหาสินค้าออนไลน์ทั่วทุกมุมโลก<br />
<br />
· Groups : ถ้าอยากรู้ข้อมูลข่าวสารที่มีคนโพสต์กันบนเว็บไซต์ สามารถค้นหาได้จากบริการนี้<br />
<br />
· I ‘m Feeling Lucky : ปุ่มบริการดัชนีค้นหาที่ช่วยให้ค้นหาเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว และตรงประเด็น โดยข้ามลิงก์ของเว็บไซต์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องให้ถูกตัดออกไป<br />
<br />
· Images : ระบบดัชนีค้นหารูปภาพที่คลิกได้ง่าย และเร็วทันใจ<br />
<br />
· Local Search : บริการค้นหาธุรกิจและบริการต่าง ๆ ที่เปิดในสหรัฐ อังกฤษ และแคนาดา<br />
<br />
· Movie : สามารถเข้าไปดูรีวิวภาพยนตร์หรือว่าตารางโปรแกรมฉายแบบเรียลไทม์ได้จากฟีเจอร์นี้<br />
<br />
· Music Search : ดัชนีค้นหาเพลงหรือว่าดนตรีที่มีให้บริการฟังเพลงออนไลน์หรือว่าดาวน์โหลดเพลงจากทั่วโลก<br />
<br />
· News Headlines : บริการที่ทำให้สามารถรู้ข้อมูลข่าวสารทันในที่ส่งมาจากรอบโลกแบบเรียลไทม์ · PhoneBook : บริการค้นหาเบอร์โทรศัพท์และเลขที่บนท้องถนนของสหรัฐอเมริกา<br />
<br />
· Q&A : บริการใหม่ที่อยากรู้อะไรเกี่ยวกับ Google บริการนี้ตอบปัญหาให้คุณได้ทุกเรื่อง<br />
<br />
· Similar Pages : บริการแสดงหน้าเว็บเพจที่แสดงผลในหน้าเว็บที่เกี่ยวข้อง<br />
<br />
· Site Search : กำหนดขอบเขตของการค้นหาเว็บไซต์ให้แคบลง<br />
<br />
· Spell Checker : เครื่องมือช่วยในการสะกดคำ<br />
<br />
· Stock Quotes : ดัชนีค้นหาสำหรับราคาหุ้นแบบเรียลไทม์<br />
<br />
· Travel Information : บริการตรวจสอบสายการบินในสหรัฐ รวมถึงรายงานสภาพอากาศของสนามบิน · Weather : บริการตรวจสอบสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศในทุกรัฐของสหรัฐ<br />
<br />
· Web Page Translation : บริการแปลหน้าเอกสารภาษาอังกฤษเป็นภาษาอื่น ๆ<br />
<br />
<br />
<br />
2. บริการในกลุ่ม Google Services<br />
<br />
· Alerts : บริการแจ้งเตือนข่าวสารและผลการค้นหาผ่านอีเมล์แบบออนไลน์<br />
<br />
· Answer : บริการตอบคำถามได้ทุกเรื่องที่อยากรู้ โดยนักวิจัยชื่อดังกว่า 500 คน<br />
<br />
· Blog Search : บริการค้นหาหัวข้อเรื่องที่เป็น Blog<br />
<br />
· Catalogs : ในประเด็นที่สนใจ บริการค้นหารายการสินค้าที่สนใจและต้องการ<br />
<br />
จะสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์<br />
<br />
· Directory : บริการค้นหาสาระสำคัญต่าง ๆ ที่อยู่บนเว็บไซต์<br />
<br />
· Labs : บริการใหม่ ๆ ของ Google ที่สามารถเข้าไปทดสอบใช้งานได้ฟรี ก่อนที่จะออกมาเป็นชุดเต็มของโปรแกรม · Mobile : บริการหลักของ Google ที่สามารถนำไปใช้ได้กับเครื่องโทรศัพท์มือถือ เช่น บริการดัชนีค้นหาเอกสาร รูปภาพ หรือส่ง SMS<br />
<br />
· News : บริการรายงานข้อมูลข่าวสารใหม่ ๆ จากทั่วทุกมุมโลกที่มีให้ได้อ่านก่อนใคร<br />
<br />
· Scholar : บริการค้นหาเอกสารงานวิจัยใหม่ ๆ รวมทั้งบทคัดย่อจากห้องสมุดใหญ่ ๆ มากมาย<br />
<br />
· Special Searches : บริการค้นหาประเด็นสาธารณะในส่วนที่เป็นองค์กร หรือว่าสถาบันที่ไม่หวังผลกำไรต่าง ๆ รวมถึงบริการค้นหาเว็บไซต์ของสถานศึกษาต่าง ๆ ที่มีรายละเอียดในเรื่องของหลักสูตรการสอนและระเบียบวิธีการเข้าศึกษาต่อทั้งในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย · Video : บริการค้นหารายการทีวีทางโทรทัศน์ เกมโชว์ มิวสิควิดีโอ ที่สามารถเช่าชั่วโมงมาดูกันแบบออนไลน์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์<br />
<br />
3. บริการในกลุ่ม Google Tools<br />
<br />
· Blogger : เว็บไซต์ที่มีเครื่องมือสำหรับสร้าง Blogger ของตัวเอง<br />
<br />
· Code : เครื่องมือสำหรับดาวน์โหลด APls และ Source code<br />
<br />
· Desktop : เครื่องมือสำหรับช่วยค้นหาไฟล์และข้อมูลต่าง ๆ ที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์<br />
<br />
· Earth : เครื่องมือที่ทำให้สามารถค้นหาแผนที่โลกจากดาวเทียม<br />
<br />
· Gmail : เป็นบริการอีเมลล์ฟรีและมีขนาดพื้นที่เก็บเมลล์ใหญ่จุใจ มีความจุกว่า 2.6 กิกะไบต์ ที่สำคัญ Google ให้ใช้ฟรี · Pack : ชุดเครื่องมือรวมฮิตของ Google รวมถึงบราวเซอร์สุดเก่ง<br />
<br />
· Firetox Picasa : เครื่องมือสำหรับการบริหารและจัดการรูปภาพทั้งหมดที่มีอยู่ใน<br />
<br />
คอมพิวเตอร์<br />
<br />
· Local for Mobile : เครื่องมือสำหรับค้นหาแผนที่ของสถานที่ต่าง ๆ บนโทรศัพท์มือถือ<br />
<br />
· Talk : เครื่องมือที่ทำให้สามารถพูดคุย ส่งอีเมล์ กับเพื่อน ๆ แบบเรียลไทม์ออนไลน์<br />
<br />
· Toobar : กล่องเครื่องมือที่ทำให้เว็บไซต์สามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลได้โดยตรง โดยไม่ต้องเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Google · Translate : เครื่องมือที่ทำให้สามารถดูเว็บไซต์ได้หลาย ๆ ภาษา<br />
<br />
· Labs : กลุ่มของชุดเครื่องมือใหม่ ๆ ของ Google ที่สามารถเข้าไปทดลองดาวน์โหลดได้ฟรี<br />
<br />
· Google Adsense เป็นแหล่งทำเงินบนอินเตอร์เน็ตชั้นดี ไม่ใช่ระบบลูกโซ่แบบที่เห็น ๆ<br />
<br />
กันในมากมายในบ้านเรา และที่ดีที่สุดคือไม่เบี้ยวเงินเราแน่นอน เมื่อเราทำยอดได้ตามเป้าหมาย กูเกิ้ลก็จะส่งเช็คมาถึงตู้จดหมายบ้านเรา<br />
<br />
· Google Adwords ใช้สำหรับลงโฆษณากับกูเกิ้ล เป็นการโปรโมทเว็บไซต์ในระยะสั้น และค่อนข้างได้ผลดี (โดยเฉพาะเว็บภาษาอังกฤษล้วน) Google Adwords เองยังสามารถนำไปประยุกต์เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
2. การค้นหาข้อมูลขั้นสูงมีวิธีการดังนี้<br />
<br />
<br />
<br />
ในกรณีที่ผลลัพธ์ของการค้นหาแบบขั้นพื้นฐานยังไม่สามารถให้ผลที่ตรงตามความต้องการ การค้นหาขั้นสูงนี้จะช่วยให้คุณสามารถปรับแต่งเงื่อนไขต่างๆเพื่อให้ได้ผลลัพท์ที่ดีที่สุด ถ้าคุณต้องการไปยังหน้าที่อยู่ด้านล่าง ท่านสามารถเข้าได้โดนคลิ๊กที่ลิงค์ ค้นหาขั้นสูง <br />
<br />
คำอธิบายตามการใช้งานของการค้นหาขั้นสูง<br />
<br />
การค้นหาขั้นสูงสนับสนุนการสืบค้นข้อมูลด้วยเงื่อนไขต่างๆหลากหลายรูปแบบ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้งานที่ต้องการข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง และตรงความต้องการของผู้ใช้มากที่สุด โดยรูปแบบของเงื่อนไขต่างๆที่ระบบสนับสนุนมีดังต่อไปนี้<br />
<br />
<br />
<br />
ข้อมูลที่มีคำเหล่านี้ทั้งหมด ตัวอย่าง เช่น ค้นหาคำว่า หนังสือ AND กระทรวง จะได้ผลการค้นหาของข้อมูลเอกสารที่มีคำทั้งสองเท่านั้น<br />
<br />
<br />
<br />
Phrase Matching คือ ค้นหาวลีหรือข้อความที่ตรงตามรูปแบบนี้เท่านั้น โดยการใช้สัญลักษณ์ (" ") ครอบวลีหรือข้อความที่เราต้องการสืบค้น เช่น "ประมวลรัษฎากร"<br />
<br />
<br />
<br />
ข้อมูลที่มีคำเหล่านี้อย่างน้อยหนึ่งคำ ตัวอย่างเช่น ค้นหาคำว่า ภาษี OR เงินได้ จะได้ผลการค้นหาของข้อมูลเอกสารที่มีคำใดคำหนึ่งก็ได้<br />
<br />
<br />
<br />
ข้อมูลที่ไม่มีคำเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ค้นหาคำว่า หนังสือ NOT กระทรวง จะได้ผลการค้นหาของข้อมูลเอกสารที่มีคำว่า หนังสือ แต่ไม่มีคำว่า กระทรวง<br />
<br />
หมายเหตุ: ผู้ใช้สามารถใส่คำค้นในช่อง A, B, C และ D พร้อมกันได้ โดยคำค้นในทุกช่องจะถูกนำมา And กันทั้งหมด<br />
<br />
<br />
<br />
เลือกรูปแบบว่าจะค้นหาทั่วโลก โดยการเลือกเช็คบ๊อกซ์แล้วจึงกดค้นหา Google<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
กำหนดลักษณะการค้นหาได้แบบไวยากรณ์ ตัวอย่างเช่น "track" ใช้ไวยากรณ์ โดยใช้สัญลักษณ์(~) เช่น ค้นหาคำว่า “ track~ “ จะได้ผลการค้นหาของ track tracks tracking เป็นต้น<br />
<br />
ใช้ไวยากรณ์ (เฉพาะภาษาอังกฤษ)<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
สามารถกำหนดกลุ่มคำที่สะกดไม่เหมือนกัน เพื่อสืบค้นได้ (หรือใช้ สัญลักษณ์ % ซึ่งได้อธิบายวิธีการใช้ไว้ในหน้า Basic Search) ซึ่งเลขระดับของการสะกดผิดจะแสดงถึง จำนวนตัวอักษรที่น่าจะสะกดผิด เช่น ค้นหาคำว่า สันพากร เมื่อค้นหาจะได้ผลลัพธ์ของเอกสารที่มี คำว่า สรรพากร เป็นต้น<br />
<br />
สะกดคำผิดได้ 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 ระดับ<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
กำหนดหมวดในการค้นหา ตัวอย่าง ค้นหาข้อมูลที่มีอยู่ในส่วนกลาง (ทุกหมวด), ค้นหาข้อมูลที่ถูกจัดไว้ในหมวดประมวลรัษฎากร<br />
<br />
กรมสรรพากร ประมวลรัษฎากร คำพิพากษาฎีกา ความรู้เรื่องภาษี ข้อหารือภาษีอากร<br />
<br />
<br />
<br />
กำหนดขอบเขตการค้นหาแบ่งตามหน่วยงานของกรมสรรพากร ตัวอย่าง ค้นหาข้อมูลที่อยู่ในภาค 1 จากทุกสำนักงานพื้นที่<br />
<br />
ทั้งหมดภาค1ภาค2ภาค3ภาค4ภาค5ภาค6ภาค7ภาค8ภาค9ภาค10ภาค11ภาค12 ทุกสำนักงานพื้นที่<br />
<br />
<br />
<br />
กำหนดรูปแบบผลลัพธ์ของภาษา เช่น กำหนดให้แสดงผลลัพธ์เฉพาะเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาไทย หรือ ทุกภาษา<br />
<br />
<br />
<br />
ทุกภาษา ไทย English<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
กำหนดการแสดงผลเรียงตามความต้องการ ตัวอย่าง เรียงข้อมูลตามจำนวนคำที่มากที่สุดในเอกสาร, เรียงข้อมูลตามวันและเวลา, เรียงข้อมูลตามชื่อเอกสาร และ เรียงข้อมูลตามขนาดของไฟล์<br />
<br />
เรียงตาม: คะแนน ชื่อเอกสาร ขนาดเอกสาร แสดง 10 15 20 30 50 รายการ/หน้า<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
กำหนดการแสดงผลเรียงตามความต้องการ ตัวอย่าง เรียงข้อมูลตามจำนวนคำที่มากที่สุดในเอกสาร, เรียงข้อมูลตามวันและเวลา, เรียงข้อมูลตามชื่อเอกสาร และ เรียงข้อมูลตามขนาดของไฟล์<br />
<br />
ทุกประเภท Word Document (.doc) Excel Worksheet (.xls) Power Point Presentation (.ppt) Acrobat Portable Document (.PDF) Hypertext Markup Language (.html) Text Documents(.txt)<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
กำหนดการแสดงผลเรียงตามความต้องการ ตัวอย่าง เรียงข้อมูลตามจำนวนคำที่มากที่สุดในเอกสาร, เรียงข้อมูลตามวันและเวลา, เรียงข้อมูลตามชื่อเอกสาร และ เรียงข้อมูลตามขนาดของไฟล์<br />
<br />
ทุกขนาด ขนาดเล็ก(น้อยกว่า100kb) ขนาดกลาง(100kb-1Mb) ขนาดใหญ่(มากกว่า1Mb)<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
3. Web ที่ใช้ค้นหาข้อมูลนอกจาก google แล้ว ยังมี sanook.com, yahoo.com, altavista.com, excite.com, webcrawler.com<br />
<br />
<br />
<br />
4. หมวดหมู่ในการค้นหาโดยใช้ google<br />
<br />
เว็บ,รูปภาพ, แผนที่ ,แปลภาษา, กูรู, บล็อก ,Gmail ,เพิ่มเติม , ไดเรกทอรี ,ปฏิทิน ,ภาพถ่าย ,เอกสาร ,ไซต์ Groups, Web History , การตั้งค่า , การตั้งค่าการค้นหา ,การตั้งค่าบัญชี Google<br />
<br />
<br />
<br />
ที่มา http://intersearch.rd.go.th/search/HelpAdvance.aspxTEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-37673618866922135312010-02-20T20:50:00.000-08:002010-02-26T19:46:52.386-08:00งานที่ครั้งที่ 2<span style="color: blue; font-size: x-large;">โรงเรียนปากพนัง</span><br />
<span style="color: #4c1130;">002 ถ.ชายน้ำ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: #4c1130;">เรื่อง นวัตกรรมและสารสนเทศเพื่อความก้าวหน้า</span><br />
<span style="color: #4c1130;">นวัตกรรมและสารสนเทศเป็นสิ่งที่จำเป็นและมีความสำคัญอย่างมากต่อการศึกษา ซึ่งโรงเรียนปากพนังได้ เน้นและให้ความสำคัญโดยจัดให้บุคลากรทุกฝ่ายได้รับความรู้ ก้าวทันเทคโนโลยี นำนวัตกรรมและสื่อทางด้านเทคโนโลยีมาใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพแก่ผู้เรียน ตลอยุทธศาสตร์ที่ ๑ ด้านพัฒนาระบบการเกณฑ์เด็กเข้าเรียนอย่างมีคุณภาพ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">วิสัยทัศน์ของโรงเรียนปากพนัง ระยะเวลา ๓ ปี (ตั้งแต่ปีการศึกษา ๒๕๕๑-๒๕๕๓)</span><br />
<span style="color: #4c1130;">ทางโรงเรียนได้จัดการเรียนรู้ระดับมัธยมศึกษา โดยมุ่งจัดให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ มุ่งเน้นให้ผู้เรียน “เก่ง ดี มีสุข” บุคลากรได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และมีประสิทธิภาพ ชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารงานและพัฒนาโรงเรียน โดยโรงเรียนจัดประสบการณ์การเรียนรู้ มุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อม เพื่อจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้อย่างเหมาะสมกับพัฒนาการและความต้องการของแต่ละวัย ผู้เรียนมีการพัฒนาตนเองทางด้านร่างกาย สมบูรณ์ แข็งแรง มีสุขภาพดี พลานามัยสมบูรณ์ จิตใจร่าเริงแจ่มใส มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักแก้ปัญหา มีสติปัญญาและศีลธรรม มีความกล้าแสดงออกเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี มีระเบียบวินัย มีความเชื่อมั่นในตนเอง รู้จักหน้าที่และความรับผิดชอบ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ระลึกถึงคุณค่าและรู้จักวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่นให้ดำเนินอยู่ต่อไป และชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารงาน อย่างเป็นระบบเต็มศักยภาพ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๑.๑ ประชาสัมพันธ์โรงเรียนให้ประชาชนทราบ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๑.๒ จัดประสบการณ์การเรียนรู้เด็กให้มีคุณภาพ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">ยุทธศาสตร์ที่ ๒ ด้านพัฒนาบุคลากรให้มีประสิทธิภาพและศักยภาพพร้อมในทุกๆด้าน</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๒.๑ ส่งเสริม สนับสนุนให้บุคลากรได้รับการศึกษาดูงาน อบรมอย่างสม่ำเสมอ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๒.๒ ส่งเสริมให้บุคลากรมีคุณธรรมจริยธรรม เป็นครูมืออาชีพ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๒.๓ สนับสนุนให้บุคลากรมีการประเมินตนเองอย่างมีระบบ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๒.๔ ส่งเสริมขวัญและกำลังใจในการทำงาน</span><br />
<span style="color: #4c1130;">ยุทธศาสตร์ที่ ๓ ด้านพัฒนาการบริหารจัดการโรงเรียนให้เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๓.๑ จัดระบบการบริหารจัดการในรูปแบบการกระจายอำนาจ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๓.๒ จัดระบบข้อมูลสารสนเทศให้มีประสิทธิภาพและเป็นปัจจุบัน</span><br />
<span style="color: #4c1130;">ยุทธศาสตร์ที่ ๔ ด้านพัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ได้มาตรฐานคุณภาพการศึกษาแห่งชาติ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๔.๑ ส่งเสริมให้จัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยยึดผู้เรียนเป็นสำคัญ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๔.๒ พัฒนาให้ครูใช้สื่อ และสร้างสื่อประกอบการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ รวมถึงการใช้นวัตกรรมใหม่ๆให้เท่าทันเทคโนโลยี</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๔.๓ พัฒนาแหล่งการเรียนรู้ภายในให้มีความหลากหลายและมีคุณภาพ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๔.๔ พัฒนาการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ โดยยึดหลักคุณธรรมนำความรู้</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๔.๕ ส่งเสริมการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็นได้เหมาะสมตามพัฒนาการแต่ละวัย</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๔.๖ สนับสนุนการเรียนรู้จากแหล่งการเรียนรู้ภายใน/ภายนอก ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย</span><br />
<span style="color: #4c1130;">ยุทธศาสตร์ที่ ๕ ด้านพัฒนาระบบการวัดและประเมินผล นิเทศติดตามงาน รายงานผลมาตรการที่ </span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๕.๑ พัฒนาระบบงานทะเบียนนักเรียนให้มีคุณภาพ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตรการที่ ๕.๒ ส่งเสริมให้มีระบบการนิเทศการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ สื่อ นวัตกรรม</span><br />
<span style="color: #4c1130;">ดจนมีระบบข้อมูลข่าวสารที่ชัดเจน สามารถสืบค้น ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ตลอดจนมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร สารสารสนเทศระหว่างโรงเรียนกับผู้ปกครองและชุมชนให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารของโรงเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อประสานความร่วมมือร่วมกันในการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุตามจุดมุ่งหมายให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด</span><br />
<span style="color: #4c1130;">มาตราการที่ ๕.๓ส่งเสริมให้มีระบบการติดตามงาน รายงานผล ตลอดถึงการนำผลการประเมินไปปรับใช้ พัฒนาให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด</span><br />
<span style="color: #4c1130;">โครงสร้างการบริหาร (แผนภูมิ)</span><br />
<span style="color: #4c1130;">โรงเรียนจัดเป็นโรงเรียนขนาดกลาง การบริหารของงานโรงเรียน จึงได้จัดระบบการบริหารด้านโครงสร้างตามความเหมาะสมกับสภาพและขนาดของโรงเรียน แยกเป็น ๗ ฝ่าย คือ </span><br />
<span style="color: #4c1130;">๑. ฝ่ายการเงิน/บัญชี/ธุรการ </span><br />
<span style="color: #4c1130;">๒. ฝ่ายวิชาการ</span><br />
<span style="color: #4c1130;">๓. ฝ่ายกิจการนักเรียน</span><br />
<span style="color: #4c1130;">๔. ฝ่ายบุคลากร</span><br />
<span style="color: #4c1130;">๕. ฝ่ายอาคารสถานที่</span><br />
<span style="color: #4c1130;">๖. ฝ่ายสัมพันธ์ชุมชน</span><br />
<span style="color: #4c1130;">๗. ฝ่ายวัดผลประเมินผ</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-43610927577975910272010-02-20T20:47:00.000-08:002010-02-21T01:02:18.615-08:00ใบงานที่ 4<span style="color: cyan;"><span style="color: blue;">การจัดการความรู้ หมายถึง</span> </span><span style="color: purple;">กระบวนการอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับการประมวลข้อมูล สารสนเทศ ความคิด การกระทำ ตลอดจนประสบการณ์ของบุคคลเพื่อสร้างเป็นความรู้หรือนวัตกรรม และจัดเก็บในลักษณะของแหล่งข้อมูลที่ บุคคลสามารถเข้าถึงได้โดยอาศัยช่องทางต่างๆ ที่องค์กรจัดเตรียมไว้ เพื่อนำความรู้ที่มีอยู่ไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงาน ซึ่งก่อให้เกิดการแบ่งปันและถ่ายโอนความรู้ และในที่สุดความรู้ที่มีอยู่จะแพร่กระจายและไหลเวียนทั่วทั้งองค์กรอย่างสมดุล เป็นไปเพื่อเพิ่มความสามารถในการพัฒนาองค์กร</span><br />
<span style="color: purple;">แหล่งข้อมูลแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ</span><br />
<span style="color: purple;">1. แหล่งข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) หมายถึง ข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมหรือบันทึกจากแหล่งข้อมูลโดยตรง ซึ่งอาจจะได้จาก การสอบถาม การสัมภาษณ์ การสำรวจ และการจดบันทึก ตลอดจนการจัดหามาด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติ เช่น เครื่องอ่านรหัสแท่ง (บาร์โด้ด : Barcode) เครื่องอ่านแถบแม่เหล็ก</span><br />
<span style="color: purple;">2. แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) หมายถึง ข้อมูลที่มีการรวบรวมไว้เรียบร้อยแล้ว บางครั้งอาจมีการประมวลผลเป็นสารสนเทศ แล้ว เช่น สถิติการนำเข้าและส่งออกสินค้า เป็นต้น</span><br />
<span style="color: purple;">สืบค้นจาก </span><br />
<span style="color: purple;">แหล่งข้อมูล คือ สถานที่ที่สามารถ ค้นคว้า สืบค้น เรียนรู้ ข้อมูลต่างๆแต่ละประเภทตามที่เราต้องการและอยู่ในรูปลักษณะที่ แตกต่างกันออกไป ตามที่แหล่งข้อมูลนั้นๆจะนำเสนออกมายิ่งในปัจจุบันจะมีรูปแบบในการนำเสนอ ที่หลากหลายมาก จนเราตามไม่ทันและมีข้อมูลมากมายมหาศาล ให้เราได้เรียนรู้ สืบค้น ค้นคว้า มาใช้ในการเรียนและงานต่างๆมากมาย</span><br />
<span style="color: purple;">ตัวอย่างแหล่งข้อมูล ที่มีในปัจจุบัน</span><br />
<span style="color: purple;">1. สื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ</span><br />
<span style="color: purple;">2. ซีดี วีซีดี ดีวีดี วีดีโอ ภาพยนต์</span><br />
<span style="color: purple;">3. สถานที่ต่างๆ ห้องสมุด โบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยว</span><br />
<span style="color: purple;">4. เทคโนโลยีต่างๆ ทีวี วิทยุ ระบบอินเทอร์เน็ต ดาวเทียม</span><br />
<span style="color: purple;">สืบลักษณะหรือรูปแบบของเครือข่ายการเรียนรู้ไม่มีกฎเกณฑ์หรือหลักเกณฑ์ตายตัว ประชาชนต้องเรียนรู้จากกันและกัน จากความรู้ที่ได้จากที่อื่น แล้วขยายความรู้ให้ผู้อื่นทราบด้วย เป็นการช่วยให้เกิดการศึกษาที่หลากหลายสอดคล้องกับความต้องการของบุคคล</span><br />
<a href="http://giftsykamon.blogspot.com/2007/09/blog-post_21.html"><span style="color: purple;">http://giftsykamon.blogspot.com/2007/09/blog-post_21.html</span></a><br />
<span style="color: purple;">สารสนเทศ (Information) ข้อมูลต่างๆ ที่ได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงหรือมี การประมวลหรือวิเคราะห์ผลสรุปด้วยวิธีการต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่มีความสัมพันธ์กัน มีความหมาย มีคุณค่าเพิ่มขึ้นและมีวัตถุประสงค์ในการใช้งาน (ไพโรจน์ คชชา, 2542)</span><br />
<span style="color: purple;">ค้นจาก http://www.ketkwanchai.info/ebook2/f6.htm</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-18780687408823775302010-02-20T20:46:00.000-08:002010-02-26T20:32:04.177-08:00ใบงานที่ 7<span style="color: black;">การใส่ ตกแต่งบล๊อก ด้วยปฏิทิน นาฬิกา สไลด์รูปต่างๆ เปลี่ยนสีในรูปแบบ และเพลงนั้น จำเป็นจะต้องใช้โค้ด(ภาษา HTML) ซึ่งเป็นโค้ดที่ต้องเพิ่มใน Gadget ซึ่งเมนูการเพิ่มจะอยู่ที่</span><br />
<span style="color: black;">แผงควบคุม ---> รูปแบบ ---> เพิ่ม Gadget ---> เพิ่มจาวา/HTML ---> วางโค้ดของปฎิทิน/นาฬิกา/เพลงที่เราได้คัดลอกมาจากโค้ดที่เราค้นหาโดยใช้ Google ---> แล้วสั่งบันทึก ซึ่งจะกลับมาที่หน้ารูปแบบ--->สั่งบันทึกอีกครั้ง--->จะขึ้นข้อความว่าได้"ได้บันทึกการเปลี่ยนแปลงแล้ว ดูบล๊อก" ---> ซึ่งสามารถดูบล๊อกได้ว่าเป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่</span><br />
<span style="color: black;">สำหรับการค้นหาโค้ด โดยใช้ Google นั้น เมื่อเข้าเว็บ Google แล้วใช้คำค้นหา เช่น โค้ดเพลง/โค้ดปฏิทินแต่งบล๊อก/โค้ดนาฬิกา / โค้ดแต่งบล๊อก /หรือระบุเพลงที่ต้องการ เช่น โค้ดเพลงอวยพรวันเกิด/โค้ดเพลงร๊อก/โค้ดเพลง(ชื่อเพลง)</span><br />
<span style="color: black;">เมื่อได้หน้าเว็บGoogle ที่ขึ้นผลการค้นหาแล้ว เลือกเปิดลิงค์ต่าง ๆ ก็จะได้หน้าเว็บ</span><br />
<span style="color: black;">บางเว็บอาจต้องดาวน์โหลดโค้ด บางเว็บก็ copy โค้ดได้เลย เมื่อได้โค้ดแล้ว select code แล้วนำไปวางใน Gadget ที่ได้สั่งเพิ่ม HTML/จาวาสคริปต์</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-61919640433792812892010-02-20T20:45:00.000-08:002010-02-26T20:33:17.016-08:00ใบงานที่ 12<span style="color: #20124d;">การใช้โปรแกรม SPSS</span><br />
<span style="color: #20124d;">1. ขั้นตอนการเรียกใช้โปรแกรม</span><br />
<span style="color: #20124d;">คลิก Start -> All Programs -> SPSS for Windows -> SPSS 11.5 for Windows</span><br />
<span style="color: #20124d;">หรือ Double Click ไอคอนบนหน้าจอ Windows</span><br />
<span style="color: #20124d;">2. ส่วนประกอบหลักของ SPSS FOR WINDOWS</span><br />
<span style="color: #20124d;">เมื่อเปิดโปรแกรมจะได้หน้าต่างที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี้</span><br />
<span style="color: #20124d;">-Title Bar บอกชื่อไฟล์ เช่น Untitled-SPSS Data Editor (หากเปิดครั้งแรก)</span><br />
<span style="color: #20124d;">-Menu Bar คำสั่งการทำงาน</span><br />
<span style="color: #20124d;">-Cell Editor กำหนดค่าตัวแปร</span><br />
<span style="color: #20124d;">-Cases ชุดของตัวแปร</span><br />
<span style="color: #20124d;">-Variable กำหนดชื่อตัวแปร</span><br />
<span style="color: #20124d;">-View Bar มีสองส่วน ได้แก่ Variable View (สร้างและแก้ไขโครงสร้างตัวแปร) และ Data View (เพิ่มและแก้ไขตัวแปร)</span><br />
<span style="color: #20124d;">-Status Bar แสดงสถานการณ์ทำงาน</span><br />
<span style="color: #20124d;">3. การป้อนข้อมูลจากหน้าจอData Editor </span><br />
<span style="color: #20124d;">3.1 เปิด SPSS Data Editor โดยไปที่ File -> New -> Data</span><br />
<span style="color: #20124d;">3.2 กำหนดชื่อและรายละเอียด จากหน้าจอ Variable View</span><br />
<span style="color: #20124d;">3.3 ป้อนข้อมูล Data View</span><br />
<span style="color: #20124d;">3.4 บันทึกข้อมูล File -> Save</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-60026002010857838142010-02-20T20:42:00.000-08:002010-02-26T20:34:13.407-08:00ใบงานที่ 13<span style="color: #660000;">โครงการพัฒนานักศึกษาประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา</span><br />
<span style="color: #660000;">กิจกรรมศึกษาดูงานด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา</span><br />
<span style="color: #660000;">ภาคกลาง – ภาคอีสาน วันที่ 17 - 22 มกราคม 2553</span><br />
<span style="color: #660000;">การศึกษาดูงานโรงเรียนอนุบาลหนองคาย สำหรับโรงเรียนอนุบาลหนองคายเปิดสอนในระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีนักเรียนทั้งสิ้น 2,002 คน 49 ห้องเรียน </span><br />
<span style="color: #660000;">สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาหนองคาย เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน โทร 042-411051 </span><a href="http://www.anubannk.org/"><span style="color: #660000;">http://www.anubannk.org/</span></a><br />
<span style="color: #660000;">ผลงานของโรงเรียนอนุบาลหนองคาย </span><br />
<span style="color: #660000;">1. โรงเรียนรางวัลพระราชทานระดับประถมศึกษา</span><br />
<span style="color: #660000;">2. โรงเรียนผู้นำการเปลี่ยนแปลง</span><br />
<span style="color: #660000;">3. โรงเรียนต้นแบบการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551</span><br />
<span style="color: #660000;">4. โรงเรียนต้นแบบการจัดการศึกษาปฐมวัย</span><br />
<span style="color: #660000;">5. โรงเรียนวิถีพุทธ</span><br />
<span style="color: #660000;">6. โรงเรียนส่งเสริมสุภาพ</span><br />
<span style="color: #660000;">7. โรงเรียนดีศรีหนองคาย</span><br />
<span style="color: #660000;">ซึ่งในการเข้าเยี่ยมชมในครั้งนี้ผู้บริหารได้มาต้อนรับและทำการบรรยายถึงยุทธวิธีการบริหารโรงเรียนให้ประสบความสำเร็จอย่างมีคุณภาพ</span><br />
<span style="color: #660000;">การศึกษาดูงานประเทศลาว ได้มีโอกาสเข้าสู่ประเทศลาวซึ่งเป็นบ้านพี่เมืองน้องของไทยวิถีชีวิตของคนลาวมีส่วนคล้ายคลึงกับประเทศไทยมากแต่ความเจริญก้าวหน้ายังล้าหลังกว่าประเทศไทย คนลาวมีวิถีชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่าย คนลาวสามารถใช้ภาษาไทยได้เป็นอย่างดี</span><br />
<span style="color: #660000;">การศึกษาดูงานที่หมู่บ้านงูจงอาง ที่บ้านโคกสง่า ตำบลทรายมูล ได้ร่วมดูการแสดงคนกับงูจงอาจ ซึ่งเป็นการแสดงที่ค่อนข้างอันตรายคนที่ไม่มีประสบการณ์จะลองทำไม่ได้ ชีวิตคนที่นั้นยังเป็นสังคมชนบทอยู่มาก มีการหาสมุนไพรมาขาย และได้รับการต้อนรับที่ดีจากชุมชนที่นั้น</span><br />
<span style="color: #660000;">การศึกษาที่จังหวัดเพชรบุรี ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ได้เข้าพักบ้านพักและร่วมรับประทานอาหารร่วมกันในตอนเย็นมีการทำกิจกรรมกลุ่มตลอดจนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น</span><br />
<span style="color: #cfe2f3;"><span style="color: #660000;">สำหรับความคาดหวังในผลการเรียนขอ A ค่ะ เพราะมีความตั้งใจเรียนและทำงานส่งตามกำหนดเวลา ตลอดจนได้นำความรู้ที่อาจารย์</span></span><span style="color: #660000;">ได้สั่งสอนนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอนต่อไป</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-75086054855171152802010-02-20T20:39:00.000-08:002010-02-26T20:34:58.053-08:00ใบงานที่ 11<span style="color: #4c1130;">ความรุ้สึกที่มีต่ออาจารย์อภิชาติ</span><br />
<span style="color: #4c1130;"><br />
</span><br />
<span style="color: #4c1130;">เรื่อง Blog ถือเป็นเรื่องใหม่สำหรับผม การได้มาเรียนรู้กับอาจารย์ทำให้ผมสามารถทำ Blog ออกมาได้ดี รู้ประโยชน์ที่ได้จากการทำ Blog มากขึ้น อย่างน้อยก็ทำให้ผมเป็นคนขยันทำงานส่งอาจารย์ ไม่ค่อยได้หลับได้นอน เพราะงานอาจารย์เย่อะมาก ทำให้ผมแสวงหาความรู้ใหม่ๆในโลกของอินเตอร์เน็ทมากขึ้น อาจารย์ทุ่มเทในการสอนให้นักศึกษาอย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนือ่ย ผมก็พยายามเรียนรู้ในสิ่งที่อาจารย์สอนอย่างเต็มความสามารถ แต่ผมมีข้อเสนอแน่ะให้อาจารย์ จัดให้นักศึกษาที่ทำ Blog เป็นหรือสามารถทำ Blog ได้นั่งในกลุ่มที่ยังทำ Blog ไม่ค่อยจะได้ เพื่อที่จะทำให้เกิดการเรียนรู้ได้เร็วมากขึ้น เพราะในห้องมีเพื่อนนักศึกษาที่มีความสามารถในด้านนี้หลายท่าน จะช่วยย่นระยะเวลาได้มากครับ เนื่องจากบุคลิกของอาจารย์พูดเร็ว ผมสังเกตเห็นเพื่อนนักศึกษาที่บางคนยังมีพื้นฐานในเรื่องเหล่านี้น้อย ตามอาจารย์ไม่ค่อยจะทัน รับเข้าไปเย่อะๆ อาการ Error กันหลายคนครับ สุดท้ายก้เป็นกำลังใจให้อาจารย์และเพื่อนๆมีความสุขกับการเรียนการสอนน่ะครับ...</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-83801671333691655892010-02-20T20:36:00.000-08:002010-02-26T20:35:45.758-08:00ใบงานที่ 10<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUEXyncQvDZd0SNBrVNswAcMBC-ExQ3WXJbFWlEi7NpFnIIQBH6smAlC7iWwJLRBN0kQyCwOsK1tdy5itYafWy7AfSXXcsux_MwuIe36o_J1WlUn4sYn_CPrvjKD_TD0iaqqqINNIjz9K9/s1600-h/22122009_005%5B1%5D%5B1%5D.jpg" imageanchor="1" style="clear: right; cssfloat: right; float: right; margin-bottom: 1em; margin-left: 1em;"><img border="0" ct="true" height="200" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiUEXyncQvDZd0SNBrVNswAcMBC-ExQ3WXJbFWlEi7NpFnIIQBH6smAlC7iWwJLRBN0kQyCwOsK1tdy5itYafWy7AfSXXcsux_MwuIe36o_J1WlUn4sYn_CPrvjKD_TD0iaqqqINNIjz9K9/s200/22122009_005%5B1%5D%5B1%5D.jpg" width="150" /></a></div><span style="color: #274e13;">ข้าพเจ้านายธีระพันธ์ ฑียาพงศ์ ชื่อเล่น"พัน" เป็นคนนครศรีธรรมราชโดยกำเนิด เกิดที่อำเภอร่อนพิบูลย์ปัจจุบันพักอยู่บ้านเลขที่ 55 ซอยพัฒนา 3 ถนนราชดำเนิน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จ.นครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: #274e13;">ประวัติการศึกษา </span><br />
<span style="color: #274e13;">- ประถมศึกษา โรงเรียนดรุณศึกษา อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: #274e13;">- มัธยมศึกษาตอนต้นและมัธยมปลาย โรงเรียนทุ่งสง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: #274e13;">- ระดับอนุปริญญา สาขาพลศึกษา จากวิทยาลัยพลศึกษา จ.กระบี่</span><br />
<span style="color: #274e13;">- ระดับปริญญาตรี สาขาพลศึกษา วิทยาลัยครูนครศรีธรรมราช จ.นครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: #274e13;">- ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อในระดับประกาศนียบัตรบัณฑิต สาขาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฎนครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: #274e13;">ประวัติการทำงาน</span><br />
<span style="color: #274e13;">ปี พ.ศ.2524 รับราชการ ที่โรงเรียนเกาะขันธ์ประชาภิบาล อ.ชะอวด จ.นครศรีธรรมราช</span><br />
<span style="color: #274e13;">ปี พ.ศ.2526 รับราชการ ที่โรงเรียนเชียรใหญ่ อ.เชียรใหญ๋ จ.นครศรีธรรมราช </span><br />
<span style="color: #274e13;">ปี พ.ศ.2547 รับราชการ ที่โรงเรียนปากพนัง อ. ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-62265775397158321452009-12-18T21:20:00.001-08:002010-02-26T19:59:32.365-08:00ใบงานที่ 1การจัดการความรู้ เป็นเครื่องมือในการแปลงยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การรวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กร ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในตัวบุคคลหรือเอกสาร มาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรสามารถเข้าถึงความรู้ และพัฒนาตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลให้องค์กรมีความสามารถในเชิงแข่งขันสูงสุด โดยที่ความรู้มี 2 ประเภท คือ- ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ เป็นความรู้ที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรได้โดยง่าย เช่น ทักษะในการทำงาน งานฝีมือ หรือการคิดเชิงวิเคราะห์ บางครั้ง จึงเรียกว่าเป็นความรู้แบบนามธรรม- ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆ เช่น การบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร ทฤษฎี คู่มือต่างๆ และบางครั้งเรียกว่าเป็นความรู้แบบรูปธรรมบทบาทใหม่ของการบริหารทุนมนุษย์การบริหารทุนมนุษย์ (Human Capital Management) ต่างจากการบริหารทรัพยากรบุคคล ตรงที่เน้นความสำคัญของคุณค่าหรือมูลค่าของคนและสิ่งที่คนในองค์กรผลิตหรือสร้างขึ้นมา แต่ไม่ได้เน้นหน้าที่ด้านการบริหารงานบุคคล ดังนั้น การบริหารทุนมนุษย์จึงเกี่ยวข้องกับการประเมินผลกระทบของกระบวนวิธีการบริหารทรัพยากรบุคคล (Impact of People Management Practice) และความทุ่มเทพยายามของคนต่อความสำเร็จขององค์กร มืออาชีพหลายคนอาจจะเข้าใจผิดว่าการบริหารทรัพยากรบุคคลหมดความสำคัญ และอาจจะไม่จำเป็นต้องทำไป แต่อย่างไรหน้าที่ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคลก็ยังคงอยู่ต่อไป แต่ต้องทำอย่างมืออาชีพมากยิ่งขึ้น และต้องมีการปรับบทบาทการบริหารทรัพยากรบุคคลเสียใหม่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปข้อมูล DATA- ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประเมินผล- กลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานสารสนเทศ (Information )- ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผลแล้ว- ผลรวมของข้อมูลที่มีความหมายความรู้ (Knowledge)ผลการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศโดยมีการจัดระบบ สร้างเป็นองค์ความรู้ความเฉลียวฉลาด (Wisdom)การนำเอาความรู้ต่างๆมาบูรณาการเพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการทำงานในสาขาวิชาต่างๆเชาว์ปัญญา (Intelligent) ผลการปรับแต่งและความจดจำความเฉลียวฉลาดต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความคิดที่ฉับไวรูปแบบการจัดการความรู้ ความรู้แบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ- ความรู้ที่ฝังอยู่ในคน (Tacit Knowledge) เป็นความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ พรสวรรค์หรือสัญชาตญาณของแต่ละบุคคลในการทำความเข้าใจในสิ่งต่างๆ- ความรู้ที่ชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) เป็นความรู้ที่สามารถรวบรวม ถ่ายทอดได้ โดยผ่านวิธีต่างๆวิธีการเป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้KM ไม่ทำไม่รู้ เรียนลัดและต่อยอดโมเดลปลาทู“ โมเดลปลาทู” เป็นโมเดลอย่างง่าย ของ สคส. ที่เปรียบการจัดการความรู้ เหมือนกับปลาทูหนึ่งตัวที่มี ๓ ส่วน คือ๑ . ส่วน “ หัวปลา” (Knowledge Vision- KV) หมายถึง ส่วนที่เป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์ หรือทิศทางของการจัดการความรู้ โดยก่อนที่จะทำจัดการความรู้ ต้องตอบให้ได้ว่า “ เราจะทำ KM ไปเพื่ออะไร ?” โดย “ หัวปลา” นี้จะต้องเป็นของ “ คุณกิจ” หรือ ผู้ดำเนินกิจกรรม KM ทั้งหมด โดยมี “ คุณเอื้อ” และ “ คุณอำนวย” คอยช่วยเหลือ๒ . ส่วน “ ตัวปลา” (Knowledge Sharing-KS) เป็นส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญ ซึ่ง “ คุณอำนวย” จะมีบทบาทมากในการช่วยกระตุ้นให้ “ คุณกิจ” มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ความรู้ โดยเฉพาะความรู้ซ่อนเร้นที่มีอยู่ในตัว “ คุณกิจ” พร้อมอำนวยให้เกิดบรรยากาศในการเรียนรู้แบบเป็นทีม ให้เกิดการหมุนเวียนความรู้ ยกระดับความรู้ และเกิดนวัตกรรม๓ . ส่วน “ หางปลา” (Knowledge Assets-KA) เป็นส่วนของ “ คลังความรู้” หรือ “ ขุมความรู้” ที่ได้จากการเก็บสะสม “ เกร็ดความรู้” ที่ได้จากกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “ ตัวปลา” ซึ่งเราอาจเก็บส่วนของ “ หางปลา” นี้ด้วยวิธีต่างๆ เช่น ICT ซึ่งเป็นการสกัดความรู้ที่ซ่อนเร้นให้เป็นความรู้ที่เด่นชัด นำไปเผยแพร่และแลกเปลี่ยนหมุนเวียนใช้ พร้อมยกระดับต่อไปKnowledge Vision Knowledge Assets Knowledge Sharing KVKSKA ส่วนหัว ส่วนตามองว่ากำลังจะไปทางไหนต้องตอบได้ว่า “ ทำ KM ไปเพื่ออะไร”กระบวนการจัดการความรู้1. กำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้2. แสวงหาความรู้3. จัดเก็บ และศึกษาหาความรู้4. การสร้างความรู้5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้6. การถ่ายโอนและกลั่นกรองความรู้7. การแบ่งความรู้การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้1. การจับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ2. การวิเคราะห์ความรู้ที่จับได้3. การตรวจสอบความถูกต้องของความรู้4. การสังเคราะห์ให้เหมาะสมกับการใช้งานCoP(Community of Practice)ชุมชนนักปฏิบัติ คือ อะไร คือ ชุมชนที่มีการรวมตัวกัน หรือเชื่อมโยงกันอย่างไม่เป็นทางการ โดยมีลักษณะดังนี้- ประสบปัญหาลักษณะเดียวกัน- มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ต้องการแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากกันและกัน- มีเป้าหมายร่วมกัน มีความมุ่งมั่นร่วมกัน ที่จะพัฒนาวิธีการทำงานได้ดีขึ้น- วิธีปฏิบัติคล้ายกัน ใช้เครื่องมือ และภาษาเดียวกัน- มีความเชื่อ และยึดถือคุณค่าเดียวกัน- มีบทบาทในการสร้าง และใช้ความรู้- มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากกันและกัน อาจจะพบกันด้วยตัวจริง หรือผ่านเทคโนโลยี-มีช่องทางเพื่อการไหลเวียนของความรู้ ทำให้ความรู้เข้าไปถึงผู้ที่ต้องการใช้ได้ง่าย- มีความร่วมมือช่วยเหลือ เพื่อพัฒนาและเรียนรู้จากสมาชิกด้วยกันเอง- มีปฏิสัมพันธ์ต่อเนื่อง มีวิธีการเพื่อเพิ่มความเข้มแข็งให้แก่สายในทางสังคมทำให้เพิ่มพูนความรู้ที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่ง่ายที่สุด ชุมชนนักปฏิบัติ คือ คนกลุ่มเล็กๆ ซึ่งทำงานด้วยกันมาระยะหนึ่ง มีเป้าหมายร่วมกัน และต้องการที่จะแบ่งปันแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์จากการทำงาน กลุ่มดังกล่าวมักจะไม่ได้เกิดจากการจัดตั้งโดยองค์การ เป็นกลุ่มที่เกิดจากความต้องการทางสังคม และความพยายามที่จะทำให้บรรลุผลสำเร็จ เป็นกลุ่มที่ไม่มีอำนาจ ไม่มีการกำหนดไว้ในแผนภูมิโครงสร้างองค์กร และอาจจะมีเป้าหมายที่ขัดแย้งกับผู้นำองค์กร ในหนึ่งองค์กรอาจจะมีชุมชนนักปฏิบัติจำนวนมาก และคนคนหนึ่งจะเป็นสมาชิกในหลายชุมชน ชุมชนนักปฏิบัติมีความสำคัญอย่างไร เครือข่ายความสัมพันธ์ที่ไม่เป็นทางการ เกิดจากความใกล้ชิด ความพอใจ และพื้นฐานที่ใกล้เคียงกัน ลักษณะที่ไม่เป็นทางการจะเอื้อต่อการเรียนรู้ และการสร้างความรู้ใหม่ๆ มากกว่าโครงสร้างที่เป็นทางการ คำว่า ปฏิบัติ หรือ practice ใน CoP ชี้จุดเน้นที่ การเรียนรู้ซึ่งได้รับจากการทำงาน เป็นหลัก เป็นแง่มุมเชิงปฏิบัติ ปัญหาประจำวัน เครื่องมือใหม่ๆ พัฒนาการในเรื่องงาน วิธีการทำงานที่ได้ผล และไม่ได้ผล การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ทำให้เกิดการถ่ายทอดแลกเปลี่ยนความรู้ฝังลึก สร้างความรู้ และความเข้าใจได้มากกว่าการเรียนรู้ จากหนังสือ หรือการฝึกอบรมตามปกติ เครือข่ายที่ไม่เป็นทางการ ซึ่งมีสมาชิกจากต่างหน่วยงาน ช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จได้ดีกว่า การสื่อสารตามโครงสร้างที่เป็นทางการ ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับชุมชนนักปฏิบัติอุปสรรคของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้- ไม่พูด ไม่คุย- ไม่เปิด ไม่รับ- ไม่ปรับ ไม่เรียน- ไม่เพียร ไม่ทำคลังความรู้ (Knowledge Assets) ประกอบด้วย 3 ส่วน1.เรื่องเล่าหรือคำพูดที่เร้าใจ + 2. การถอดบทเรียนที่ได้ + 3. แหล่งข้อมูลบุคคลอ้างอิง (Tacit Knowledge) (Explicit Knowledge) (References)ข้อควรระวังในการทำ KS- ให้ share "เรื่องเล่า" ไม่ใช่ share "ความคิด"- เป็น Storytelling ไม่ใช่ Problem-solving ไม่ใช่ Planning- share แล้วต้อง Learn และ Learn แล้วต้อง Lead (นำ)...นำสู่การกระทำ...นำสู่ภาพที่ต้องการ"ทุกความสำเร็จในองค์กร ย่อมมาจากกลยุทธ์การวางแผน การปฏิบัติ และการจัดการอย่างมืออาชีพ"การจัดการความรู้บทบาทใหม่ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์1. ผู้ดูแลทุนมนุษย์ ( Human Capital Steward )2. ผู้ประสานสัมพันธ์ ( Knowledge Facilitator )3. ผู้อำนวยความรู้ ( Relationship Bulder )4. ผู้มีอาชีพที่เฉพาะ ( Raped Deployment Sepecidist )ความรู้คืออะไร1. Knowledge Capital เป็นต้นทุน องค์กร ทรัพยากรมนุษย์2. ความสามารถในการทำให้สารสนเทศ และข้อมูลมาเป็นการกระทำที่มีประสิทธิภาพได้3. ส่วนผสมของกรอบประสบการณ์ คุณค่า สารสนเทศ และความเชี่ยวชาญข้อมูล สารสนเทศ ความรู้ ความเฉลียวฉลาด และเชาว์ปัญญาข้อมูล ข้อมูลดิบที่ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการประมวลผล กลุ่มของข้อมูลดิบที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานสารสนเทศ ข้อมูลที่ผ่านกระบวนการประมวลผลแล้ว ผลรวมของข้อมูลที่มีความหมายความรู้ ผลจากการขัดเกลาและเลือกใช้สารสนเทศโดยมีการจัดระบบความคิด เกิดเป็นความรู้ และความเชี่ยวชาญความเฉลียวฉลาด การนำเอาความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อทำงานในสาขาต่างๆเชาว์ปัญญา ผลจากการปรับแต่งและจดจำความเฉลียวฉลาดต่างๆ ซึ่งก่อให้เกิดความคิดที่ฉับไวรูปแบบของความรู้ประเภทของความรู้กับการจัดการรู้ความรู้อาจแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือความรู้เด่นชัด (Explicit Knowledge) คือ ความรู้ที่อยู่ในรูปแบบที่เป็นเอกสาร หรือ วิชาการ อยู่ในตำรา การจัดการจะเน้นการเข้าถึงแหล่งความรู้ ตรวจสอบและตีความได้ เมื่อนำไปใช้จะเกิดความรู้ใหม่ เพื่อให้ผู้อื่นใช้อ้างอิงต่อไปความรู้ซ่อนเร้น (Tacit Knowledge) เป็นความรู้แฝงอยู่ในตัวคน เป็นประสบการณ์ที่สั่งสม มายาวนาน เป็นภูมิปัญญา การจัดการความรู้แบบนี้ จะเน้นที่การจัดเวทีเพื่อให้มีการแบ่งปันความรู้ที่มีอยู่ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน อันนำไปสู่ความรู้ใหม่ที่จะนำไปใช้งานต่อไปซึ่งในสภาพความเป็นจริง ความรู้ทั้ง 2 ประเภทเหล่านี้ มีการสับเปลี่ยนสภาพกันตลอดเวลา การจัดการความรู้ จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพความรู้เช่นโมเดลปลาทูการจัดการความรู้ในรูปแบบของ “โมเดลปลาทู” ที่แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนหัวปลา หรือส่วนของเป้าหมายของการจัดการความรู้ (Knowledge Management Vision), ส่วนของตัวปลา หรือส่วนของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Knowledge Sharing) และส่วนของหางปลา หรือตัวคลังความรู้ (Knowledge Assets)กระบวนการจัดการความรู้1. กำหนดสิ่งที่ต้องการเรียนรู้2. แสวงหาความรู้3. จัดเก็บ และศึกษาหาความรู้4. การสร้างความรู้5. การประมวลและกลั่นกรองความรู้6. การถ่ายโอนและกลั่นกรองความรู้7. การแบ่งความรู้การวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้1. การจับความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ2. การวิเคราะห์ความรู้ที่จับได้3. การตรวจสอบความถูกต้องของความรู้4. การสังเคราะห์ให้เหมาะสมกับการใช้งานสร้างระบบสารสนเทศจัดการเรียนรู้การจัดเก็บความรู้เป็นระบบการค้นหาและเรียกใช้ความรู้การให้ความรู้ร่วมกันและการกระจายความรู้ความรู้ที่ฝังอยู่ในคนCOP ย่อมาจาก Community of Practice หมายถึง ชุมชนนักปฏิบัติ หรือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ที่รวบรวมกลุ่มคนที่มีความรู้ความสนใจในเรื่องเดียวกัน มาร่วมแลกเปลี่ยน แบ่งปัน เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ร่วมกัน เพื่อได้มาซึ่ง Knowledge Assets : KA หรือ ขุมความรู้ ในเรื่องนั้น ๆ สำหรับคนในชุมชนเพื่อไปทดลองใช้ แล้วนำผลที่ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างสมาชิก อันส่งผลให้ความรู้นั้น ๆ ถูกยกระดับขึ้นเรื่อย ๆ ผ่านการปฏิบัติ ประยุกต์ และปรับใช้ตามแต่สภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่หลากหลาย อันทำให้งานบรรลุผลดีขึ้นเรื่อย ๆCOP เป็น 1 ใน เครื่องมือของการจัดการความรู้ (KM Tools) ประเภท Non-Technical Tools สำหรับการดึงความรู้ประเภท Tacit Knowledge หรือ ความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล ซึ่งซ่อนเร้นอยู่ภายในลักษณะที่สำคัญของ COP• กลุ่มคนที่รวมตัวกันโดยมีความสนใจและความปรารถนา (Passion) ร่วมกันในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง (มี Knowledge Domain)• ปฏิสัมพันธ์และสร้างความสัมพันธ์ในกลุ่ม เป็นชุมชน (community) ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน• แลกเปลี่ยนและพัฒนาความรู้ร่วมกัน ต้อง Practice และสร้างฐานข้อมูล ความรู้ หรือแนวปฏิบัติประโยชน์ของ COPระยะสั้น• เวทีของการแก้ปัญหา ระดมสมอง• ได้แนวคิดที่หลากหลายจากกลุ่ม• ได้ข้อมูลมากขึ้นในการตัดสินใจ• หาทางออก/คำตอบที่รวดเร็ว• ลดระยะเวลา และการลงทุน• เกิดความร่วมมือ และการประสานงานระหว่างหน่วยงาน• ช่องทางในการเข้าหาผู้เชียวชาญ• ความมั่นใจในการเข้าถึงและแก้ปัญหา• ความผูกพันในกรเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม• ความสนุกที่ได้อยู่กับเพื่อนร่วมงาน• ได้รู้จักเพื่อนใหม่ที่มีหลายสิ่งหลายอย่างคล้ายกัน รวมทั้งอาจกำลังเผชิญปัญหาที่คล้ายคลึงกัน เมื่อได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์จะทำให้ค้นพบวิธีแก้ปัญหาระยะยาว• เสริมสร้างวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ขององค์กร• เกิดความสามารถที่ไม่คาดการณ์ไว้• วิเคราะห์ความแตกต่างและตั้งเป้าหมายการปรับปรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพ• แหล่งรวบรวมและเผยแพร่วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศ• เกิดโอกาสพัฒนาองค์กรอย่างก้าวกระโดด• เครือข่ายของกลุ่มวิชาชีพ• ชื่อเสียในวิชาชีพเพิ่มขึ้น• ได้รับผลตอบแทนจากการจ้างงานสูงขึ้น• รักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้• เพิ่มโอกาสในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ในองค์กร• ขับเคลื่อนให้องค์กรบรรลุเป้าหมายเชิงกลยุทธ์TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-28395060160422393132009-12-18T21:15:00.000-08:002010-02-26T20:00:39.474-08:00ใบงานที่ 3อธิบายความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับนวัตกรรมและสารสนเทศ<br />
1. การจัดการ หมายถึง ชุดของหน้าที่ต่าง ๆ ที่กำหนดทิศทางในการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งหลายอย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายขององค์กร การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ (Efficient) หมายถึง การใช้ทรัพยากรอย่างเฉลียวฉลาด และคุ้มค่า ส่วนการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิผล (Effective) หมายถึงการตัดสินใจอย่างถูกต้อง และมีการปฏิบัติการได้สำเร็จตามแผนที่กำหนดไว้ ดังนั้น ผลสำเร็จของการจัดการต้องมีทั้งประสิทธิภาพและประสิทธิผลควบคู่กันไปการบ ริหาร หมายถึง กิจกรรมต่างๆ ที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปร่วมมือกันดำเนินการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดหรือหลายๆอย่างที่บุคคลร่วมกัน กำหนดโดยใช้กระบวนอย่างมีระบบและให้ทรัพยากรตลอดจนเทคนิคต่างๆ อย่างเหมาะสม (สมศักดิ์ คงเที่ยง , 2542 : 1)2. นวัตกรรม หมายถึง ความคิด การปฏิบัติ หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีใช้มาก่อน หรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงมาจากของเดิมที่มีอยู่แล้ว ให้ทันสมัยและใช้ได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อนำนวัตกรรมมาใช้จะช่วยให้การทำงานนั้นได้ผลดีมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผลสูงกว่าเดิม ทั้งยังช่วย ประหยัดเวลาและแรงงานได้ด้วย3. เทคโนโลยีทางการศึกษา (Educational Technology) ตามรูปศัพท์ เทคโน (วิธีการ) + โลยี(วิทยา) หมายถึง ศาสตร์ที่ว่าด้วยวิธีการทางการศึกษา ครอบคลุมระบบการนำวิธีการ มาปรับปรุงประสิทธิภาพของการศึกษาให้สูงขึ้นเทคโนโลยีทางการศึกษาครอบคลุม องค์ประกอบ 3 ประการ คือ วัสดุ อุปกรณ์ และวิธีการ (boonpan edt01.htm)4. ข้อมูล หมายถึง ข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น บุคคล สิ่งของสถานที่ ฯลฯ ข้อมูลเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องข้อมูลต้องถูก ต้องแม่นยำครบถ้วนขึ้นอยู่กับผู้ดำเนินการที่ให้ความสำคัญของความรวดเร็วของ การเก็บข้อมูล5. สารสนเทศ หมายถึง ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่า สารสนเทศ เกิดจากการนำข้อมูล ผ่านระบบการประมวลผล คำนวณ วิเคราะห์และแปลความหมายเป็นข้อความที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ เช่น สารสนเทศที่เป็น ความรู้ที่เกิดจากวิทยุ โทรศัพท์มือถือ ข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ รอบตัวเราซึ่งอาจมาจาก วิทยุ โทรทัศน์ เครือข่ายคอมพิวเตอร์ดาวเทียม โทรศัพท์ เครื่องจักร ที่เกี่ยวกับสารสนเทศได้ เครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสารโทรคมนาคมสมัยใหม่ เช่น การฝาก ถอนเงินผ่านเครื่อง ATM การจองตั๋วเครื่องบิน การลงทะเบียน ฯลฯ6. ระบบสารสนเทศ (Information System ) หมายถึง ระบบที่มีการนำคอมพิวเตอร์มาช่วยในการรวบรวม จัดเก็บ หรือจัดการกับข้อมูลข่าวสารเพื่อให้ข้อมูลนั้นกลายเป็นสารสนเทศที่ดี สามารถนำไปใช้ในการประกอบการตัดสินใจได้ในเวลาอันรวดเร็วและถูกต้อง7. ระบบสารสนเทศเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศ ช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร8. การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการส่งข่าวสารข้อมูลจากผู้ส่งข่าวสารไปยังผู้รับข่าวสาร มีวัตถุประสงค์เพื่อชักจูงให้ผู้รับข่าวสารมีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา โดยคาดหวังให้เป็นไปตามที่ผู้ส่งต้องการ9. เครือข่าย หมายถึง กลุ่มของคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกันดังนั้นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ จึงประกอบด้วยสื่อการติดต่อสื่อสาร อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นในการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 ระบบเข้าด้วยกัน รวมทั้งอุปกรณ์อื่น ๆ10. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมายถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข่าวสาร ข้อมูลและการสื่อสารนับตั้งแต่การสร้าง การนำมาวิเคราะห์ หรือประมวลผลการรับและส่งข้อมูล การจัดเก็บและการนำไปใช้ใหม่ เทคโนโลยีเหล่านี้ มักจะหมายถึง คอมพิวเตอร์ซึ่งประกอบด้วยอุปกรณ์ (hardware) ส่วนคำสั่ง (software) และส่วนข้อมูล (data) และระบบการสื่อสารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ระบบสื่อสารข้อมูล ดาวเทียม หรือเครื่องมือสื่อสารใดๆ ทั้งมีสายและไร้สาย11. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการศึกษา หมายถึง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับข่าวสาร ข้อมูลและการสื่อสารสารสนเทศกับงานด้านการศึกษา อันได้แก่ การจัดเก็บข้อมูล และประมวลผลฐานข้อมูล การพัฒนาระบบสารสนเทศช่วยการเรียนการสอน การวางแผนและการบริหารการศึกษา การวางแผนหลักสูตร การแนะแนวและบริการ การทดสอบวัดผล การพัฒนาบุคลากร ซึ่งเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการสื่อสารนั้น จะมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของใช้งาน เช่น บางครั้งอาจจะใช้เทคโนโลยีดาวเทียม เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ต ระบบ e-Learning หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่มีความจำเป็นในการพัฒนาการศึกษาTEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2553367810427677875.post-70371082457005859152009-11-27T23:55:00.000-08:002010-02-26T20:01:29.718-08:00ใบงานที่ 5<span style="font-family: arial;">ขั้นตอนการจัดการความรู้ในสถานศึกษา<br />
<br />
<br />
1. ปรับวัฒนธรรมองค์กรให้เหมาะสมในการจัดการความรู้ (Culture Change)<br />
1.1 เปลี่ยนแปลงค่านิยมและพฤติกรรมของผู้บริหาร ครู และบุคลากรให้เป็นผู้ยึดแนวการทำงานที่เปิดรับ และพร้อมจะสร้างสรรค์งานใหม่ ๆ พร้อมเป็นผู้แบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน<br />
1.2 สร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงาน มีมุมมองผู้บริหาร เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชาในเชิงบวก<br />
1.3 กล้านำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ ร่วมกัน หาทางออกหากขัดต่อระเบียบข้อบังคับ<br />
1.4 สร้างโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงาน และให้โอกาสทีมงานด้วยความสมัครใจ<br />
1.5 ปลูกฝังแนวคิดที่เอื้อต่อการทำงาน เช่น ความตั้งใจจริง การเอาชนะอุปสรรค การทำงานให้ผลออกมาดีที่สุด ความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นในความถูกต้อง ความดีงาม ฯลฯ<br />
2. สื่อสารสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการความรู้ (Communication)<br />
2.1 สื่อสารให้ความรู้ ความเข้าใจเบื้องต้น เช่น ความหมาย ความสำคัญ องค์ประกอบ ประโยชน์ของการจัดการความรู้<br />
2.2 สื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการ ขั้นตอนในการจัดการความรู้ ตลอดจนเครื่องมือที่จะใช้ในการจัดการความรู้<br />
2.3 สื่อสารถึงบทบาทหน้าที่คณะทำงาน และผู้เกี่ยวข้องในการจัดการความรู้<br />
2.4 สื่อสารเกี่ยวกับเป้าหมายของการจัดการความรู้ ตลอดจนความยาก และปัญหาที่อาจจะพบในการจัดการความรู้<br />
3. กระบวนการและเครื่องมือในการจัดการความรู้ (Process and Tools) เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความรู้ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ถ้าเป็นการจัดการความรู้ประเภทชัดแจ้ง (Explicit Knowledge) มักจะใช้สื่อเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) ส่วนเครื่องมือที่ใช้ในการจัดการความรู้ประเภทฝังลึก (Tacit Knowledge) มักจะเป็นกระบวนการที่สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และแบ่งปันได้ เช่น<br />
3.1 ประชุมสัมมนาเชิงปฏิบัติการร่วมกัน<br />
3.2 สอนงาน (Coaching)<br />
3.3 เรียนรู้โดยการปฏิบัติ (Action Learning)<br />
3.4 จัดชุมชนนักปฏิบัติ (Community of Practice)<br />
4. เรียนรู้ (Learning) เพื่อสร้างความรู้ต่อยอด ซึ่งมีวิธีการต่าง ๆ ที่หลากหลาย สำหรับข้อเสนอแนะในครั้งนี้ เป็นการเรียนรู้โดยการจัดชุมชนนักปฏิบัติ (CoP) มีกระบวนการขั้นตอนดังนี้<br />
4.1 การกำหนดเป้าหมาย (Desired State) ซึ่งเป็นความต้องการในการจัดการความรู้ เพื่อตอบคำถามจะจัดการความรู้ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องใด และจะทำให้ใครเป็นผู้ได้รับประโยชน์ในการจัดการความรู้นั้น<br />
4.2 สรรหาผู้ปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ (Best Practice) เข้าร่วมแลกเปลี่ยนแบ่งปันประสบการณ์ สมาชิกทุกคนที่เข้าร่วมเวทีต้องเป็นตัวจริง คือเป็นผู้ปฏิบัติงานในเรื่องนั้น ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับ เป็นแบบอย่างที่ดี และมาจากความแตกต่าง หลากหลาย จึงจะเกิดพลัง<br />
4.3 ค้นหาความรู้ฝังลึกในตัวผู้ปฏิบัติ ซึ่งเขามีวิธีการปฏิบัติอย่างไร จึงประสบผลสำเร็จ ผ่านเทคนิคการเล่าเรื่อง (Story telling) โดยใช้กระบวนการสกัดขุมความรู้ (Knowledge Assets) เป็นรายบุคคล แล้วหลอมรวมวิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศของทุกคนให้เป็นแก่นความรู้ (Core Competence)<br />
4.4 สร้างความรู้ ที่กระจัดกระจายอยู่มากมายมารวมไว้ เพื่อจัดทำเนื้อหาให้เหมาะสม และตรงกับความต้องการของผู้ใช้ โดยจัดทำเป็นฐานข้อมูลต่าง ๆ ตามความเหมาะสม<br />
4.5 เลือกและกลั่นกรอง (Refine) โดยสรรหาเลือกความรู้ที่เป็นประโยชน์ และโดดเด่น ซึ่งอาจจะนำไปเทียบเคียงทฤษฎี หลักการ หรือแนวคิดที่มีบันทึกไว้ หากไม่ตรงกับหลักการใด เราอาจจะได้หลักการปฏิบัติใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น<br />
4.6 เผยแพร่ความรู้ (Knowledge Distribution) กิจกรรมนี้ นำการจัดการที่เป็นระบบแล้วเผยแพร่แก่นักปฏิบัติที่มีความต้องการจะนำองค์ความรู้ที่ได้จากการจัดการความรู้ไปใช้ประโยชน์<br />
4.7 นำความรู้ไปใช้ประโยชน์ (Use) เป็นกิจกรรมที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อมีการจัดการความรู้แล้วไม่นำไปใช้ประโยชน์ก็ไม่บังเกิดผลใด ๆ ทำให้เกิดความสูญเปล่าในการจัดการความรู้<br />
4.8 นำความรู้ที่ได้มา และผ่านการนำไปใช้แล้วว่าเกิดประโยชน์จริง มาเก็บไว้ในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอินเทอร์เน็ต อินทราเน็ต ไว้เป็นแหล่งความรู้ (Knowledge Assets) เพื่อให้เกิดพลังในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้<br />
4.9 ตรวจสอบ (Monitor) เป็นการทบทวนดูว่าทุกขั้นตอนของการจัดกระบวนการความรู้ มีขั้นตอนใดที่จะต้องปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขั้นตอนใดมีความเหมาะสมดีแล้ว<br />
5. การวัดผลการจัดการความรู้ (Meausurement) การวัดผลจะทำให้เราได้รู้ว่าการจัดการความรู้ของเรา สามารถก่อให้เกิดการพัฒนาได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงหรือไม่ ซึ่งจำเป็นจะต้องจัดทำตัวชี้วัดให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราตั้งเป้าหมายไว้ อย่างน้อยที่สุด 3 ประการ คือ เกิดการพัฒนาคน พัฒนางาน และพัฒนาองค์กร ตัวชี้วัดควรมีลักษณะดังนี้<br />
- ตัวชี้วัดจะต้องสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน<br />
- ตัวชี้วัดต้องสามารถอธิบายและทำความเข้าใจแก่ทุกคนได้<br />
- ตัวชี้วัดบางตัว อาจมีการปรับเปลี่ยนให้เหมาะสม ควรให้ทุกคนในหน่วยงานรับทราบ<br />
6. การยอมรับและให้รางวัล (Recognition and Rewards) ในการจัดการความรู้ให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้นั้น จะต้องมีสิ่งกระตุ้น ผลักดันให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การพิจารณาเรื่องการยอมรับ และให้รางวัล ก็เพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญ ความสอดคล้อง และความเต็มใจถ่ายทอดร่วมกับผู้อื่น ซึ่งแต่ละองค์กรต้องพิจารณาตามความเหมาะสม เช่น<br />
- ของรางวัล<br />
- ประกาศเกียรติคุณ<br />
- คำยกย่อง ชมเชย<br />
อย่างไรก็ตาม รางวัลอาจเป็นเงื่อนไขที่ตามมา ดังนั้น จึงควรผลักดันให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่า ผลสำเร็จของงาน คือ รางวัลที่ยิ่งใหญ่ของตนเอง (Self – rewarding)<br />
<br />
</span>TEERAPANhttp://www.blogger.com/profile/01910182312063491181noreply@blogger.com0